พูดให้เห็นภาพง่ายที่สุด ประกันสุขภาพเปรียบเสมือน “ กระเป๋าเงินใบที่สอง “ ของคุณครับ เป็นกระเป๋าที่เราทยอยจ่ายเงินก้อนเล็กๆ (เบี้ยประกัน) ให้กับบริษัทประกัน เพื่อให้เขาเตรียมเงินก้อนใหญ่ไว้ให้เราใช้ ” จ่ายค่ารักษาพยาบาล ” ยามเจ็บป่วย
ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆ, ผ่าตัดไส้ติ่งฉุกเฉิน, หรือโรคร้ายแรงที่ต้องนอนโรงพยาบาลนานเป็นเดือน หน้าที่ของกระเป๋าใบนี้คือการ ” ปกป้องเงินเก็บ ” ในบัญชีหลักของคุณ ไม่ให้ละลายหายไปกับค่าหมอครับ เพราะเรารู้ดีว่าค่ารักษาพยาบาลสมัยนี้ แพงจนน่าตกใจ
หัวใจสำคัญของการเลือกประกันให้คุ้มค่า คือการเข้าใจประเภทความคุ้มครองครับ ซึ่งหลักๆ มีอยู่ 3-4 คำที่คุณต้องรู้จัก
- ผู้ป่วยใน (IPD – In-Patient Department) = ” นอนโรงพยาบาล “
คืออะไร |
คือการรักษาที่คุณต้องแอดมิท นอนโรงพยาบาลอย่างน้อย 6 ชั่วโมงขึ้นไป
คุ้มครองอะไรบ้าง |
นี่คือส่วนที่ สำคัญที่สุด ของกรมธรรม์ครับ เพราะบิลค่ารักษาส่วนนี้มักจะเป็นก้อนโตหลักแสนหรือหลักล้าน ครอบคลุมตั้งแต่ ค่าห้องพัก , ค่าอาหาร , ค่าผ่าตัด , ค่าห้อง ICU , ค่ายา , ไปจนถึงค่าหมอเยี่ยมไข้
เคล็ดลับการเลือก |
เดี๋ยวนี้เทรนด์ประกันมาแรงคือแบบ ” เหมาจ่าย ” (Lump Sum) ครับ คือบริษัทให้วงเงินก้อนโตมาเลย (เช่น 5 ล้านบาทต่อปี) ให้เราใช้รักษาได้ทุกรายการตามจริง ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องวงเงินย่อยจุกจิกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ป่วยหนักแค่ไหนก็เอาอยู่ครับ
2. ผู้ป่วยนอก (OPD – Out-Patient Department) = ” หาหมอแล้วกลับบ้าน “
คืออะไร |
การรักษาแบบไม่ต้องนอนค้างคืน เช่น เป็นหวัด , ท้องเสีย , ผื่นแพ้ , หรือแผลมีดบาด
คุ้มครองอะไรบ้าง |
ค่าหมอ , ค่ายา , ค่าตรวจแล็บ จบในบิลเดียว
เหมาะกับใคร |
เหมาะกับคนที่ป่วยบ่อยๆ หรือไม่อยากควักเงินสดจ่ายค่ารักษาเล็กๆ น้อยๆ ทีละ 1,000 – 3,000 บาทครับ มีประกัน OPD ไว้ สบายใจกว่าเยอะ ยื่นบัตรแล้วเดินตัวปลิวกลับบ้านได้เลย
3. ประกันโรคร้ายแรง (Critical Illness) = “ เงินก้อนชดเชยรายได้ “
คืออะไร |
อันนี้พิเศษหน่อยครับ ถ้าหมอตรวจเจอโรคร้ายแรง (เช่น มะเร็ง, หัวใจ, สโตรก) บริษัทจะ โอนเงินก้อนใหญ่ (เช่น 1 ล้านบาท) เข้าบัญชีคุณทันที
เอาเงินไปทำอะไร |
ทำอะไรก็ได้ครับ จะเอาไปจ่ายค่ารักษา , ผ่อนบ้าน , ผ่อนรถ , หรือเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายครอบครัวในช่วงที่คุณต้องหยุดงานรักษาตัว เป็นเหมือน ” เบาะรองรับ ” ไม่ให้ชีวิตคุณและครอบครัวต้องสะดุดและติดขัดในเรื่องต่างๆ
3 เหตุผลว่า ทำไมต้องตัดสินใจซื้อ ” ตอนนี้ “
- ความเสี่ยงไม่เคยรอเรา มีทั้งฝุ่น PM 2.5 ที่ทำร้ายปอด , เชื้อไวรัสใหม่ๆ หรืออุบัติเหตุ เกิดขึ้นได้ทุกวันโดยไม่เลือกอายุ
- ยิ่งรอ เบี้ยยิ่งแพง เงื่อนไขยิ่งเยอะ การทำประกันตอนอายุน้อย เบี้ยถูกกว่ามากและที่สำคัญ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ ในบางแผน แต่ถ้าคุณรอจนมีโรคประจำตัว (เช่น ความดัน, เบาหวาน) ประกันอาจจะไม่รับทำ หรือรับแต่ไม่คุ้มครองโรคนั้นๆ (Exclusion) นะครับ
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี รัฐบาลสนับสนุนให้เรามีหลักประกันครับ เบี้ยประกันสุขภาพสามารถนำไป ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 25,000 บาท ต่อปี เท่ากับว่าคุณได้ทั้งความคุ้มครองชีวิตและได้เงินคืนจากภาษี คุ้มสองต่อแบบนี้ จะรออะไรล่ะครับ
สรุปสั้นๆ การซื้อประกันสุขภาพ ไม่ใช่การแช่งตัวเองให้ป่วย แต่คือการ ” วางแผนการเงิน ” ของคนฉลาดครับ จ่ายเงินก้อนเล็ก (เบี้ยประกัน) เพื่อปกป้องเงินก้อนใหญ่ (เงินออม)
อย่าปล่อยให้ความลังเลทำร้ายอนาคตทางการเงินของคุณ หากคุณอ่านมาถึงตรงนี้ แสดงว่าคุณเห็นความสำคัญของมันแล้ว